Monday, June 29, 2009

เดนิชแอ๊บเปิ้ลลูกเกด : apple raisin danish

เจ้าเดนิชแอ๊บเปิ้ลเนี่ยปกติเราซื้อกินแทบทุกวันศุกร์เวลาไปจ่ายตลาดค่ะ ความที่เรานิสัยเสียชอบกินอาหารมื้อเช้าควบเที่ยงพร้อมกันเลย ก็ประมาณ 11 โมงเช้าแหละ และทุกบ่ายวันศุกร์เราต้องไปจ่ายกับข้าวแล้วมันก็หิวทีนี้ ผลก็คือวิ่งเข้าเบเกอรี่ซื้อเดนิชแอ๊บเปิ้ลมากินทุกทีไป แต่ซื้อที่ร้านไม่ค่อยถูกใจเลย มันแห้งๆ ไป อีกอย่างรู้ว่าสมัยนี้ร้านเบเกอรี่ส่วนใหญ่เค้าไม่ได้ทำขนมสดๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นการรับจากบริษัทแม่ซึ่งผลิตไว้ปริมาณเยอะๆ แล้วแช่แข็ง ก่อนนำมาส่งตามสาขาย่อยต่อไป ความรู้สึกอคติมันก็มาเลย สรุปว่าอะไรที่ทำกินเองได้ก็อยากทำกินเอง แล้วก็เข้าข้างตัวเองว่าอร่อยกว่าซื้อที่ร้านค่ะ เอิ๊กๆ

ส่วนผสมแป้ง ได้ประมาณ 4 ชิ้นค่ะ

  • นมสด 55 กรัม
  • ยีสต์แห้ง 3 กรัม
  • น้ำตาลทราย 25 กรัม
  • วานิลาบัทเทอร์ 1/4 ชช.
  • ไข่แดง 1/2 ฟอง
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 135 กรัม
  • เกลือป่น 3 กรัม

  • ส่วนผสมไส้
    • แอ๊บเปิ้ลเปรี้ยว 140 กรัม
    • น้ำแอ๊บเปิ้ล 35 กรัม
    • น้ำตาลทราย 15 กรัม
    • อบเชยป่น 1/4 ชช.
    • ลูกเกด 30 กรัม
    • เหล้ารัม 1 ชต.
    บล็อกเนย
    • เนยสดเย็น 70 กรัม
    นอกจากนั้น
    • ไข่แดง 1/2 ฟอง+นมสด 1/2 ชต. สำหรับทาผิวก่อนอบ
    • แยมแอพริคอท สำหรับทาผิวหลังอบ
    วิธีทำ

    ใส่นมสด ยีสต์ น้ำตาลทรายและวานิลาลงไปในอ่างผสม คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย แล้วจึงใส่ไข่แดง แป้งและเกลือลงไปคนพอเข้ากันดี แล้วใช้เครื่องตีหัวเกลียวนวดด้วยความเร็วกลางประมาณ 1 นาทีพอเนียน เสร็จแล้วก็รวบแป้งเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ห่อพลาสติกใสให้มิดชิดแล้วนำไปแช่เย็นไว้ 30-45 นาทีค่ะ

    จากนั้นนำแป้งออกมาคลึงให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนาประมาณ 1/3 ซม. โดยคลึงให้ด้านยาวๆ กว่าด้านกว้างสัก 3 เท่านะคะ เสร็จแล้วนำเนยออกจากตู้เย็น ใส่ถุงพลาสติก รีดเนยให้ด้านกว้างมีขนาดเกือบเท่าความกว้างของแป้ง แต่ความยาวประมาณ 2/3 ของแผ่นแป้ง จากนั้นนำบล็อกเนยวางไว้ด้านใดด้านหนึ่งของแผ่นแป้ง กะแป้งแบ่งเป็น 3 ส่วน พับแป้งด้านที่ไม่มีเนยลงมาทบแป้งส่วนที่ 2 ค่ะ

    ตลบปลายแป้งอีกด้านมาทับกัน เหมือนพับจดหมายน่ะค่ะ เสร็จแล้วก็รีดแป้งตามยาวให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวประมาณ 30-35 ซม. ส่วนด้านกว้างไม่ต้องสนใจแล้วค่ะ จากนั้นก็พับแป้งทั้งสองด้านเข้าหากัน แล้วพับทบอีกครั้งเหมือนหนังสือค่ะ ใช้นิ้วจิ้มแป้ง 1 ครั้งเพื่อทำเครื่องหมายไว้ว่าได้รีดแป้งไป 1 ครั้งแล้ว ใช้พลาสลติกใสหรือถุงพลาสติกหุ้มแป้งให้มิดชิด นำไปแช่เย็น 20-30 นาที (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศค่ะ ถ้าอากาศร้อนก็ต้องพักนานหน่อย)


    หลังแช่เย็น 20 นาทีแล้วก็นำแป้งออกมารีด พับ และแช่เย็นอีก 2 รอบค่ะ (รอบที่ 1 ใส่เนยแล้วรีดแป้ง ส่วนรอบที่ 2 และ 3 แค่รีดแป้งแล้วพับค่ะ อย่าลืมใช้นิ้วจิ้มแป้งทำสัญลักษณ์ไว้ด้วยนะคะ แป้งที่รีดและแช่เย็นครั้งสุดท้ายจะมีรอยนิ้วจิ้มไว้ 3 รอยค่ะ)

    ระหว่างที่พักแป้งก็ทำไส้รอไว้ค่ะ ปอกเปลือกแอ๊บเปิ้ลตัดแกนออกแล้วหั่นเป็นชิ้นหนาประมาณ 1/2 ซม. ใส่หม้อตั้งไฟกลาง เติมน้ำแอ๊บเปิ้ลและน้ำตาลทราย ต้มจนเดือดลดเหลือไฟอ่อนต้มต่อประมาณ 4-5 นาทีจนแอ๊บเปิ้ลนิ่มและน้ำแห้ง ปิดไฟแล้วใส่อบเชยคนให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็นสนิทค่ะ ลูกเกดก็แช่รัมไว้ด้วยนะคะ

    เมื่อพักแป้งครบ 3 รอบแล้วก็นำแป้งมารีดให้มีขนาดประมาณ 28x22 ซม. ตัดแบ่งแป้งเป็น 4 แผ่นเท่าๆ กัน แล้วตัดแบ่งครึ่งแต่ละแผ่นอีกครั้ง รวมเป็น 8 แผ่น

    นำแป้งมาหนึ่งแผ่น วางแอ๊บเปิ้ลลงไป ตามด้วยลูกเกด แล้วนำแป้งอีกแผ่นมาพับครึ่งตามยาว ตัดเป็นริ้วๆ เหมือนในรูปค่ะ

    คลี่แผ่นแป้งออกแล้วนำไปคลุมแอ๊บเปิ้ลไว้ค่ะ จากนั้นก็คลุมด้วยพลาสติกใส พักแป้งให้ขึ้นอีก 45-60 นาทีหรือจนแป้งขึ้นดีค่ะ

    เมื่อครบ 60 นาทีแล้วก็จัดการอุ่นเตาอบ 200 องศาเซลเซียส คนไข่แดงกับนมสดให้เข้ากันแล้วใช้แปรงนุ่มๆ ชุบทาผิวเดนิชให้ทั่ว เมื่อเตาอบร้อนได้ที่แล้วก็นำถาดอบเข้าวางบนชั้นกลางของเตาอบ อบไฟบน-ล่างประมาณ 15-20 นาทีจนมีสีน้ำตาลทองค่ะ

    นำขนมออกจากเตาอบ วางบนตะแกรงแล้วนำแยมแอพริคอทไปอุ่น คนให้เนียนแล้วใช้แปรงชุบทาหน้าเดนิชให้ทั่วค่ะ

    เมื่อทาแยมแล้วก็ปล่อยให้แห้งประมาณ 30 นาที แล้วก็เสิร์ฟได้ค่ะ อบเสร็จใหม่ๆ แป้งยังกรอบอยู่อร่อยได้ใจจริงๆ แต่ถ้าปล่อยไว้ข้ามคืนความชื้นจากไส้จะซึมเข้าตัวแป้ง ทำให้แป้งไม่กรอบเท่าที่ควรค่ะ

    ตัดให้ดูข้างในตามธรรมเนียมค่ะ ผิวแป้งกรอบๆ กับเนื้อในนุ่มๆ ผสมผสานกับรสแอ๊บเปิ้ลเปรี้ยวๆ หวานๆ เต็มปากเต็มคำ ชิมชิ้นนึงแล้วหยุดไม่ได้ ต้องมีต่อภาคสองค่ะ งานนี้แฟนน้องเปิ้ลไม่น่าพลาดนะคะ

    Thursday, June 25, 2009

    ยำไส้กรอก : thai style wurstsalat

    วันนี้ทำยำไส้กรอกกินเป็นอาหารมื้อเช้าควบมื้อเที่ยงไปทีเดียวเลยค่ะ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำหรอก แต่พอดีเหลือบไปเห็นไส้กรอกไก่ที่เหลือจากกริลล์เมื่อ 2 วันก่อนนอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้เย็น 2 ชิ้น เลยจับมาทำยำซะหมดเรื่องไป ปรากฏว่าอร่อยกว่าที่คาดหวังไว้ค่ะเลยเอาสูตรมาลงซะหน่อย เผื่อใครอยากทำกินบ้าง

    เครื่องปรุงโดยประมาณ
    • พริกขี้หนู 5 เม็ด
    • กระเทียมกลีบเล็ก 2 กลีบ
    • พริกไทยดำ 2 เม็ด
    • น้ำมะนาว 1 1/2 ชต.
    • น้ำปลา 1 1/2 ชต.
    • ซีอิ๊วขาว 1/2 ชต.
    • น้ำตาลทราย 1 ชช.
    • ไส้กรอกสำหรับกริลล์ยาวประมาณ 15 ซม. 2 ชิ้น
    • มะเขือเทศ 2 ลูก
    • คื่นช่าย 2 ต้น
    • แตงกวา 2 ลูก
    • หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว

    วิธีทำ
    ทำน้ำยำไว้ก่อนเลยค่ะ โดยโขลกพริกขี้หนู กระเทียม และพริกไทยรวมกัน ไม่ต้องละเอียดมากก็ได้ค่ะ เสร็จแล้วก็ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา ซีอิ๊วขาว และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบค่ะ

    จากนั้นก็จัดการทอดไส้กรอก เรียกทอดไม่ได้สิเพราะไม่ได้ใส่น้ำมันเลย แต่จะเรียกไงดีล่ะ งั้นเรียกทอดต่อไปละกันเนอะ 55 ปกติเราจะย่างบนกระทะกริลล์ แต่วันนี้ทำนิดหน่อย กระทะใบเบ้อเริ่มขี้เกียจล้างก็เลยทอดในกระทะใบจิ๋วแทนค่ะ ทอดไม่นานนะคะเพราะไส้กรอกมันสุกอยู่แล้ว แค่ให้ผิวมีสีสวยก็พอค่ะ

    ทอดไส้กรอกเสร็จแล้วก็จัดการหั่นเป็นชิ้นพอคำ แตงกวา มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ คื่นช่ายก็หั่นไว้พร้อมกันเลยค่ะ

    เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เทเครื่องปรุงทุกอย่างใส่ชามอ่าง ราดด้วยน้ำยำ คนให้เข้ากันแล้วเทใส่จานเสิร์ฟ แค่นี้เองอ่ะ เสร็จแล้ว ทำไมมันง่ายจังเลยเนาะ

    ได้เวลาชิมค่ะ คำแรกเข้าปาก เคี้ยวๆ อืมม์.. อร่อยแฮะ เสร็จแล้วคำต่อๆ ไปก็ตามมา ไม่กี่นาทีก็เกลี้ยงจานค่ะ รอดไปอีกมื้อ

    Wednesday, June 24, 2009

    มะเขือม่วงสอดไส้หมูสับ : deep fried filled aubergine

    เมื่อวันศุกร์ไปจ่ายกับข้าวที่ซุปเปอร์แล้วเห็นมะเขือม่วงลูกงามๆ ราคาถูกผิดปกติมาก เลยทุ่มสุดตัวซื้อมาซะ 2 ลูกเป้งๆ ราคาตกแค่ราวๆ 1 ยูโร ซื้อมาเพื่อทำเจ้านี่โดยเฉพาะเลยค่ะ มะเขือม่วงสอดไส้หมูสับ ป๋าที่บ้านชอบมาก (เดี๋ยวนี้ต้องเรียกป๋าแล้ว ไม่ใช่เพราะมีตังค์ แต่เพราะพุงเป็นพุงจริงๆ เลย 55) คนทำก็มีความสุขค่ะ

    เครื่องปรุงโดยประมาณ สำหรับรับประทาน 2 คนนะคะ
    • มะเขือม่วงหนักประมาณ 350 กรัม 1 ลูก
    • หมูสับ 150 กรัม
    • กระเทียมสับละเอียด 1/2 ชช.
    • พริกไทยป่น 2/3 ชช.
    • น้ำตาลทราย 1/2 ชช.
    • ซีอิ๊วขาว 1 ชต.
    • แป้งอเนกประสงค์ 1 ชต.
    • ไข่ไก่ตีพอเข้ากัน 1 ฟอง
    • เกล็ดขนมปัง 1/2 ถ้วยตวง
    • น้ำมันพืชสำหรับทอด 1/2 ถ้วยตวง
    วิธีทำ

    ล้างมะเขือให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นหนาประมาณ 1/2 ซม. แล้ววางเรียงบนถาดโรยเกลือให้ทั่ว พักไว้ก่อนค่ะ จากนั้นก็จัดการผสมหมูสับ กระเทียม พริกไทย น้ำตาล และซีอิ๊วขาว นวดพอเข้ากัน แล้วนำมาโปะหน้ามะเขือ 1 แผ่น
    แล้วนำอีกแผ่นมาประกบ ทำอย่างนี้จนหมดส่วนผสมค่ะ

    นำมะเขือที่ประกบไว้แล้ว ไปคลุกกับแป้งบางๆ ให้ทั่ว ก่อนนำไปชุบไข่ ตามด้วยเกล็ดขนมปัง แล้วนำไปทอดในน้ำมันพืชร้อนๆ ไฟกลางค่อนข้างแรงจนมีสีเหลืองทองทั้งสองด้าน ตักขึ้นวางบนกระดาษเพื่อซับน้ำมันก่อนจัดใส่จานค่ะ
    เราเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มที่ผสม ซอสมะเขือเทศ 1/2 ชต. + ซอสพริก 1/2 ชต. + น้ำจิ้มไก่ 1 1/2 ชต. ง่ายๆ แค่นี้เองค่ะ ใครนึกไม่ออกว่าเย็นนี้จะทำอะไรกินดีก็ลองทำดูก็ได้นะคะ เผื่อจะติดใจ


    Wednesday, June 17, 2009

    ผัดขี้เมากุ้ง

    เพิ่งทำกินสดๆ ร้อนๆ เป็นมื้อเที่ยงเมื่อกี๊เองค่ะ หน้าตาดูซีดๆ ไม่ค่อยมีสีสันแต่อร่อยมั่กๆ ค่ะ กินเสร็จปุ๊บโพสต์ปั๊บเลย กลัวจำไม่ได้ว่าใส่อะไรลงไปบ้าง เอิ๊กส์...

    เครื่องปรุง สำหรับรับประทาน 2 คนนะคะ

    • กุ้งสด 8 ตัว
    • กะเพรา 2 ต้น
    • ตะไคร้ซอยละเอียด 1/2 ชต.
    • พริกชี้ฟ้าหั่นหยาบ 3-4 เม็ด
    • หอมแดง 1 หัว
    • กระเทียม 1 กลีบใหญ่
    • ขิงแก่ซอยละเอียด 1 ชช.
    • พริกไทยดำ 2 เม็ด
    • น้ำมันพืช 2 ชต.
    • ข้าวโพดอ่อน 4-5 ฝัก
    • น้ำปลา 1 1/2 ชต.
    • น้ำตาลทราย 1/2 ชช.
    • น้ำซุป 2 ชต.
    วิธีทำ

    ล้างกุ้งให้สะอาด แกะเปลือกไว้หาง ผ่าหลังเอาเส้นดำออก ล้างกะเพราให้สะอาดแล้วเด็ดใบ ข้าวโพดอ่อนล้างแล้วหั่นเป็นท่อนเล็กๆ พักไว้ก่อน จากนั้นหันไป
    โขลกตะไคร้ พริกชี้ฟ้า หอมแดง กระเทียม ขิงและพริกไทยรวมกัน ไม่ต้องละเอียดมากก็ได้ค่ะ

    นำกระทะตั้งไฟกลาง ใส่น้ำมันพืชลงไป พอน้ำมันเริ่มร้อนใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไปผัดจนส่งกลิ่นหอม ใส่ข้าวโพดอ่อนลงผัดรวมกัน จากนั้นใส่กุ้งลงผัดพอเริ่มเปลี่ยนสี ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย และน้ำซุป ผัดพอเข้ากัน ใส่ใบกะเพรา คน 2-3 ครั้ง ตักใส่จานเสิร์ฟทันทีค่ะ

    Monday, June 15, 2009

    Strawberry Yoghurt Mousse Cake : สตรอว์เบอรี่โยเกิร์ตมูสเค้ก

    วันนี้มีมูสสตรอว์เบอรี่อีกสูตรมาฝากกันค่ะ เราทำเมื่อวาน คนที่บ้านชมเปาะว่าอร่อยมาก ชมจริงชมเล่นน๊อ คือเราไม่ได้ชิมเลยเพราะไม่ค่อยปลื้มมูสเค้ก จริงๆ ก็ไม่ปลื้มทุกอย่างที่มีวิปป์ครีมเป็นส่วนผสมแหละ แต่ถ้าพ่อบ้านบอกอร่อยก็น่าจะอร่อยจริงๆ ค่ะ เพราะเค้าก็ไม่ชอบทานครีมเหมือนกัน

    ส่วนผสมเค้กช็อคโกแล็ต สำหรับถาดขนาด 21x21x3 ซม.
    • แป้งเค้ก 35 กรัม
    • ผงฟู 1/2 ชช.
    • ผงโกโก้ 7 กรัม
    • อัลมอนด์ป่นละเอียด 5 กรัม
    • น้ำตาลทราย ก. 30 กรัม
    • ไข่แดง 1 1/2 ฟอง
    • น้ำมันพืช 25 กรัม
    • นมสด 40 กรัม
    • วานิลาบัทเทอร์ 1/2 ชช.
    • ไข่ขาว 1 1/2 ฟอง
    • เกลือป่น 1 หยิบมือ
    • น้ำตาลทราย ข. 20 กรัม
    วิธีทำ ถาดอบปูกระดาษไข แล้วอุ่นเตาอบไว้ที่ 190 องศาเซลเซียสเลยค่ะ

    ร่อนแป้ง ผงฟู ผงโกโก้ และอัลมอนด์มีลรวมกัน 2 ครั้งใส่อ่างผสมใบใหญ่แล้วทำบ่อตรงกลาง ใส่น้ำตาลทราย ก. ไข่แดง น้ำมันพืช นมสด และวานิลาในบ่อแป้ง ใช้ตะกร้อมือคนเร็วๆ พอเข้ากัน ไม่เหลือแป้งเป็นเม็ดๆ ใช้เวลาในการคนไม่เกิน 10 วินาทีนะคะ อย่าคนนานเดี๋ยวเค้กเหนียวเป็นยางพาราค่ะ

    ใส่ไข่ขาวในอ่างอีกใบ ใส่เกลือลงไป ตีด้วยความเร็วต่ำประมาณ 10 วินาทีพอไข่เป็นฟองฟู เปลี่ยนเป็นความเร็วสูงสุด ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทราย ข. ลงไปตีรวมกับไข่ขาวจนน้ำตาลหมด และไข่ตั้งยอดแข็งก็หยุดตีค่ะ

    แบ่งไข่ขาวครึ่่งหนึ่งมาตะล่อมเบามือให้เข้ากับส่วนผสมแป้ง เสร็จแล้วก็ใส่ไข่ขาวที่เหลือลงตะล่อมให้เข้ากัน ดี เทส่วนผสมใส่ถาดอบที่ปูด้วยกระดาษไขไว้แล้ว เกลี่ยให้เรียบเสมอกัน แล้วนำเข้าไปอบประมาณ 13 นาทีจนเค้กสุก นำออกจากเตาอบ วางไว้บนตะแกรงพักให้เย็นอุณหภูมิห้อง เมื่อเค้กเย็นแล้วก็นำพิมพ์มูสมาตัด วางเค้กบนจานรองเค้กแล้วครอบด้วยพิมพ์มูสค่ะ จากนั้นเราก็ไปทำตัวมูสกันค่ะ

    ส่วนผสมมูสสตรอว์เบอรี่
    สำหรับพิมพ์มูส เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 x 5 ซม. 4 พิมพ์ค่ะ

    • สตรอว์เบอรี่ 200 กรัม
    • เจลาติน 4 แผ่น (แบบผง 6 กรัม)
    • โยเกิร์ตธรรมชาติ 140 กรัม
    • น้ำตาลทราย 70 กรัม
    • น้ำมะนาว 2 ชช.
    • วิปปิ้งครีม 200 มล.
    วิธีทำ

    แช่เจลาตินในน้ำเย็นไว้ประมาณ 10 นาทีให้นิ่ม สะเด็ดน้ำไว้ แล้วหันไปสตรอว์เบอรี่ไปปั่นให้ละเอียด ใส่หม้ออุ่นพอร้อนแต่ไม่เดือด ใส่เจลาตินที่นิ่มแล้วลงไปในหม้อสตรอว์เบอรี่ คนจนเจลาตินละลายหมด พักไว้ก่อนค่ะ

    จากนั้นนำโยเกิร์ตใส่อ่างผสม ตามด้วยน้ำตาลทรายและน้ำมะนาว ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ตีวิปปิ้งครีมจนเป็นครีมข้นแต่ไม่ถึงกับตั้งยอด แล้วนำมาตะล่อมกับส่วนโยเกิร์ตให้เข้ากันดี แบ่งส่วน 1/3 ของส่วนผสมเทใส่พิมพ์มูสที่รองด้วยเค้กช็อคโกแล็ตไว้แล้วค่ะ ใครจะหั่นสตรอว์เบอรี่สดแต่งขอบรอบข้างก็ตามชอบนะคะ แต่เราว่าไม่แต่งสวยกว่า แต่งแล้วดูรกๆ นะคะ ว่ามั้ย

    ใส่ซอสสตรอว์เบอรี่ลงไปตะล่อมผสมกับส่วนผสมที่เหลือจนเข้ากันดี แล้วเทใส่ส่วนสีขาวจนเต็มพิมพ์ นำมูสไปแช่เย็นประมาณ 6 ชั่วโมงให้มูสเกาะตัวดี แล้วค่อยเอาออกจากพิมพ์นะคะ